วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

สรุปความรู้จากการเรียนครั้งที่ 6

วันอาทิตย์ที่ 12  มีนาคม  2560


สรุปความรู้ที่ได้จากการเรียนครั้งที่ 6  : รู้จักกับ  การวิเคาระห์ (Systems  Analysis )

               เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ มีอยู่ด้วยกันหลากหลาย แต่เครื่องมือหลักๆมี                ดังนี้
             1. ผังองค์กร  (Organization  Chart)  แผนผังแสดงตำแหน่งงาน หน้าที่งานต่างๆ และเส้นโยงความสัมพันธ์ของงานต่างๆเหล่านั้น โครงสร้างจะครอบคลุมแนวทางและกลไกในการประสานงานและการติดต่อสื่อสารและระบบต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่อง การจัดวางตำแหน่งงาน และกลุ่มของตำแหน่งงานต่างๆ ภายในองค์การซึ่งโครงสร้างจะแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของงานที่จะมีต่อกัน รูปแบบปฏิสัมพันธ์และการจัดสรรหน้าที่และความรับผิดชอบในองค์การนั้น
     2           2. ผัง ( Context  Diagram และ Data Flow  Diagram)
             แผนภาพบริบท (Context Diagram) คือ แผนภาพกระแสข้อมูลระดับบนสุดที่แสดงภาพรวมการทำงานของระบบที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอกระบบ
 Level-0 Diagram คือ แผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่แสดงขั้นตอนการทำงานหลักทั้งหมด (Process หลัก) ของระบบแสดงทิศทางการไหลของ Data Flow และแสดงรายละเอียดของแหล่งจัดเก็บข้อมูล (Data Store)
  Level-0 Diagram เป็นการแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของ Process การทำงานหลักๆ ที่มีอยู่ภายในภาพรวมของระบบ (Context Diagram) ว่ามีขั้นตอนใดบ้าง

  • ตัวอย่างการเขียนแผนภาพกระแสข้อมูล DFD Level 1
ถ้าระบบใดมีการทำงานที่ซับซ้อนมาก นักวิเคราะห์ระบบจะไม่สามารถอธิบายการทำงานทั้งหมดได้ภายในขั้นตอนเดียวใน Context Diagram ดังนั้นในการวิเคราะห์ระบบจึงสามารถจำแนกระบบใหญ่หนึ่งระบบออกเป็นระบบย่อยๆ ได้หลายระบบ โดยแบ่งให้เป็นระบบย่อยที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนสามารถอธิบายการทำงานได้ทั้งหมด เรียกวิธีนี้ว่า “ การแบ่งย่อย
การแบ่ง/แยก/ย่อยระบบและขั้นตอนการทำงานออกเป็นส่วนย่อย โดยในแต่ละขั้นตอนที่แยกออกมา (Subsystems) จะแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของการทำงานเพิ่มมากขึ้น การแบ่งย่อย Process นั้นสามารถแบ่งย่อยลงไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงระดับที่ไม่สามารถแบ่งย่อยได้อีกแล้ว

  • ตัวอย่างการเขียนแผนภาพกระแสข้อมูล DFD Level 2
                    กระแสข้อมูล DFD Level 2 คือ การแตกการประมวลผลย่อย โดยใช้แผนภาพกระแสข้อมูล DFD Level 1 แบ่งการประมวลผลภายในออกไปเป็นขั้นตอนต่างๆ ได้อีก ตัวอย่าง เช่น

 3. ผังงาน  Flow Chart
ผังงาน (Flowchart) คือ รูปภาพ (Image) หรือสัญลักษณ์(Symbol) ที่ใช้เขียนแทนขั้นตอน คำอธิบาย ข้อความ หรือคำพูด ที่ใช้ในอัลกอริทึม (Algorithm) เพราะการนำเสนอขั้นตอนของงานให้เข้าใจตรงกัน ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ด้วยคำพูด หรือข้อความทำได้ยากกว่าการใช้ผังงาน 
ผังงาน เป็นเครื่องมือแสดงขั้นตอน หรือกระบวนการทำงาน โดยใช้สัญลักษณ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งในสัญลักษณ์จะมีข้อความสั้น ๆ อธิบายข้อมูลที่ต้องใช้ ผลลัพธ์ หรือคำสั่งประมวลผลของขั้นตอนนั้น ๆ และเชื่อมโยงขั้นตอนเหล่านั้นด้วยเส้นที่มีลูกศรชี้ทิศทางการทำงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ 


วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

สรุปความรู้จากการเรียนครั้งที่ 5

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม  2560



สรุปความรู้ที่ได้จาการเรียนครั้งที่5 : รู้จักกับทรัพยากรด้านการสื่อสารและเครือข่าย 
                                                        ( Data  Communications  and  Network  System )

วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ SDLC



SDLC เป็นตัวย่อมาจาก Systems Development Life Cycle 

วัฎจักรการพัฒนาระบบงาน (System development Life Cycle : SDLC)
     ในการพัฒนาระบบสารสนเทศในองค์กรจะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทํางานของ องค์กร เราเรียกว่า System development Life Cycle (SDLC) การพัฒนาระบบในองค์กรเป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบที่จะต้องทําการติดต่อ กับหน่วยงานที่ต้องการพัฒนาระบบสารสนเทศ ว่าการทํางานมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่นขนาดขององค์กร รายละเอียดการทํางาน ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่นักวิเคราะห์จะต้องเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐาน การทํางาน กระบวนการทํางาน
วัฎจักรการพัฒนาระบบงาน (System development Life Cycle : SDLC) หมายถึง ขั้นตอนหรือกระบวนการในการพัฒนาระบบงาน ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในการทํางานและจุดสิ้นสุดของการปฏิบัติงาน
การพัฒนาซอฟต์แวร์ ตามปกติแล้วจะประกอบไปด้วยกลุ่มกิจกรรม ส่วนหลักๆ ด้วยกัน คือ การวิเคราะห์ (Analysis), การออกแบบ (Design) และการนำไปใช้ (Implementation) ซึ่งกิจกรรมทั้งสามนี้สามารถใช้งานได้ดีกับโครงการซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก ในขณะที่โครงการซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ มักจำเป็นต้องใช้แบบแผนการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามแนวทางของ SDLC จนครบทุกกิจกรรม
ขั้นตอนที่ใช้ศึกษาขบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ประกอบด้วย

การทำความเข้าใจกับปัญหา

การรวบรวมข้อมูลn

การวิเคราะห์ระบบ

การออกแบบระบบ

การพัฒนาระบบ และ จัดทำเอกสาร

การทดสอบและบำรุงรักษาระบบ

การส่งเสริมและการประเมินผลระบบ

เครื่องมือช่วยการวางแผนกำกับโครงการ
ในการบริหารงานโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมายจำเป็นต้องมีการวางแผน กำหนดขั้นตอนในการทำงาน และควบคุมความก้าวหน้าของโครงการเป็นอย่างดี ในปัจจุบันเทคนิคของการบริหารโครงการที่นิยมใช้กัน ได้แก่ Gantt Chart , เทคนิค PERT และ CPM
                                  1. Gantt Chart

                               

                                 2. PERT และ CPM


วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

สรุปความรู้จากการเรียนครั้งที่ 4

สรุปความรู้ครั้งที่ 4 :     รู้จักกับทรัพยากรด้านการสื่อสารและเครือข่าย 
                                ( Data  Communications and      Network System )

       ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร สถาบันการศึกษาและบ้านไปแล้วการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ทั้งไฟล์ เครื่องพิมพ์ ต้องใช้ระบบเครือข่ายเป็นพื้นฐาน ระบบเครือข่ายจะหมายถึง การนำคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันเพื่อจะทำการแชร์ข้อมูล และทรัพยากรร่วมกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลและเครื่องพิมพ์ ระบบเครือข่ายสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ด้วยกันคือ

 1. LAN (Local Area Network) 
         ระบบเครื่องข่ายท้องถิ่น  ไม่ต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ คือจะเป็นระบบเครือข่ายที่อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรือต่างอาคาร ในระยะใกล้ๆพัฒนาการของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เกิดจากการเชื่อมต่อเทอร์มินอล (Terminal)เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Mainfram Computer) หรือเชื่อมต่อกับมินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ซึ่งการควบคุมการสื่อสารและการประมวลผลต่างๆจะถูกควบคุมและดำเนินการโดยเครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่าโฮสต์ (Host) โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างโฮสต์กับเทอร์มินอล ส่วนเทอร์มินอลทำหน้าที่เป็นเพียงจุดรับข้อมูล และ แสดงข้อมูลเท่านั้น
        ปัจจุบันมีการใช้งานเครือข่ายระยะใกล้ หรือเรียกอีกอย่างว่าเครือข่ายท้องถิ่น (LAN หรือ Local Area Network) อย่างแพร่หลายในเกือบทุกหน่วยงาน จนเปรียบเสมือนปัจจัยในการทำงานของสำนักงานทั่ว ๆ ไป เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์ดีด หรือเครื่องถ่ายเอกสารบุคคลากรเกือบทุกคนในหน่วยงานจะมี เครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 1 เครื่อง เพื่อใช้งานในด้านต่างๆ นอกจากนี้อาจจะมีการเชื่อมโยงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์กับระบบงานอื่น ภายในหน่วยงานเดียวกันภายในตึกเดียวกัน หรือภายในองค์กรเดียวกัน การเชื่อมโยงในลักษณะนี้เปรียบเสมือนการเชื่อมโยงประสานการทำงานของหน่วยงานหรือ องค์กรเข้าด้วยกัน ซึ่งเรียกการเชื่อมโยงลักษณะนี้ว่าเครือข่ายท้องถิ่น
        สรุปแล้วเครือข่ายระยะใกล้ หรือเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)เป็นรูปแบบการทำงานของระบบเครือข่ายแบบหนึ่ง ที่ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer) เครื่องพิมพ์ (Printer) และอุปกรณ์ใช้งานทางคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงเอกสาร ส่งข้อมูลติดต่อใช้งานร่วมกันได้ การติดต่อสื่อสารของอุปกรณ์ จะอยู่ในบริเวณแคบ โดยทั่วไปมีระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร เช่น ภายในอาคารสำนักงานภายในคลังสินค้า โรงงาน หรือระหว่างตึกใกล้ ๆ เชื่อมโยงด้วย สายสื่อสารจึงทำให้มีความเร็วในการสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูงมาก และมีความผิดพลาดของข้อมูลต่ำ

2. MAN (Metropolitan Area Network) 
      ระบบเครือข่ายเมือง เป็นเน็ตเวิร์กที่จะต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นการติดต่อกันในเมือง
3. WAN (Wide Area Network) 
      ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก โดยจะเป็นการสื่อสารในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลก จะต้องใช้มีเดีย(Media) ในการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย

ทิศทางในการสื่อสารข้อมูล (Transmission Mode) เราสามารถแบ่งได้มี 4 รูปแบบ

1. Simplexส่งทางเดียวและรับทางเดียว คือ ขณะที่ผู้ส่งข้อมูลผู้รับจะไม่สามารถส่งข้อมูลกลับมา
ให้ผู้ส่งได้ในช่องทางเดียวกัน เช่น การแพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ หรือการแพร่สัญญาณคลื่นวิทยุ
2. Half duplex สามารถส่งได้ทั้งสองทาง แต่ไม่สามารถส่งพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกันในช่องทาง
เดียวกัน คือเมื่อผู้ส่งส่งข้อมูลให้ผู้รับ ผู้รับสามารถส่งข้อมูลกลับมาให้ผู้ส่งในช่องทางเดียวกันได้แต่
ต้องทำคนละเวลา เช่น วิทยุสื่อสารของทหาร
3. Full duplexสามารถส่งพร้อม ๆ กันทั้งสองทางได้ คือ เมื่อผู้ส่งส่งข้อมูลให้ผู้รับ ผู้รับสามารถส่ง
ข้อมูลกลับมาให้ผู้ส่งในช่องทางเดียวกันในเวลาเดียวกันได้ เช่นการสื่อสารทางโทรศัพท์
4. Echo plexเป็นการสื่อสารแบบสะท้อนกลับ เช่น การส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไปยัง Server ข้อมูลที่
ส่งจะสะท้อนออกทางหน้าจอ

อุปกรณ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network Device)
ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์อยู่หลายชนิด ดังนี้
1. HUB หรือ ฮับคือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยมี Port ไว้สำหรับเสียบสายLAN 
ที่ตอ่ มาจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดย HUB จะรับขอ้ มูลที่ไดรั้บจากพอรต์ (Port) ใดพอรต์ หนึ่งส่งไปยังทุกพอร์ตที่เหลือของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่มาเชื่อมต่อกับ HUB หรือที่เรียกว่าเป็นการส่งข้อมูลแบบ Broadcast
2. SWITCH หรือ สวิตซ์คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยมี Port ไว้สำหรับเสียบ
สายLAN ที่ต่อมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์เหมือน HUB
3. ROUTER หรือ เราท์เตอร์คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายและทำการหาที่อยู่ 
(Address)ของผู้รับปลายทางและทำการส่งข้อมูลที่รับเข้ามาไปยังผู้รับปลายทาง โดยการอ่าน
แพ็กเก็ตข้อมูลเพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป
4. BRIDGE หรือ บริดจ์คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อม LAN เครือข่ายขนาดเล็กเข้าด้วยกัน และสามารถ
เพิ่มจำนวน LAN ที่จะมาเชื่อมได้มากโดยที่ประสิทธิภาพของระบบ ไม่ลดลงมาก
5. MODEMเป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่แปลงสัญญาณข้อมูลจาก สัญญาณ Analog เป็นสัญญาณDigital 
หรือแปลงสัญญาณจาก สัญญาณ Digital เป็นสัญญาณ Analog จะมีหน่วยความจำROM) 
เก็บคำสั่งภาษา Hayes
6. LAN Card หรือ การ์ดแลน (Network Interface Card -NIC)เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซีเข้ากับ
สาย LAN


วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สรุปความรู้ที่ได้จากการเรียนครั้งที่ 3 และการบ้าน

วันอาทิตย์ที่  19 กุมภาพันธ์  2560

สรุปความรู้ครั้งที่ 3 : รู้จักกับทรัพยากรณ์ด้านซอฟต์แวร์ ( Software) และทรัพยากรบุคลากรทางคอมพิว                                   เตอร์ ( Peopleware)


ซอฟต์แวร์ระบบ
คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบคอมพิวเตอร์ จัดการอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก การรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ การแสดงผลบนจอภาพ การนำข้อมูลออกไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการประสานงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซอฟต์แวร์ระบบจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซอฟต์แวร์ระบบที่รู้จักกันดี คือ ระบบปฏิบัติการ(operating sytem) เช่น เอ็มเอสดอส ยูนิกซ์ โอเอสทู วินโดวส์ ลินุกซ์ เป็นต้น

ประเภทของระบบปฏิบัติการ
เราสามารถแบ่งประเภทของระบบปฏิบัติการตามลักษณะการทำงานได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

1) ประเภทใช้งานเดียว (single-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอส
2) ประเภทใช้หลายงาน (multitasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน
3) ประเภทใช้งานหลายคน (multiuser)ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคนแต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อต่อกับคอมพิวเตอร์จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถในการจัดการสูง
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ
เนื่องจากระบบปฏิบัติการจะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างโปรแกรมใช้งาน ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงมีหลายชนิด ปัจจุบันระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้งานกันแพร่หลายมีดังนี้
1) ระบบปฏิบัติการดอส ( Disk Operating System : DOS)
2) ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX)
3) ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ (Microsoft Windows)
4)ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ (Linux)
5)ระบบปฏิบัติ MAC OS X

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบ โครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)
บทบาทและหน้าที่ของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องมาจากการทำงานของคคอมพิวเตอร์จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีบุคลากรทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ รวมทั้งการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการบุคลากรทีมีความเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่รับผิดชอบ ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (operator) เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ หากเกิดปัญหาขัดขื้องเกีทื่ยวกับระบบจะต้องแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบ
2. บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบ (system) และโปรแกรม (program)บุคลากรคอมพิวเตอร์ในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย
     นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (systems analyst and designer) ทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ระบบ เพื่อนำมาวิเคราะห์และออกแบบระบบงานใหม่ และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้ระบบและนักเขียนโปรแกรม (programmer)
     ผู้บริหารฐานข้อมูล (database administrator ) ทำหน้าที่ออกแบบและดูแลระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตลอดจนบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ขององค์การ
     นักพัฒนาโปรแกรมระบบ (system programmer) เป็นผู้เขียนโรแกรมควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ ให้คำปรึกษาและแก้ไขระบบเมื่อเกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์
    นักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ (application programmer) เป็นผู้เขียนและพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ โดยการนำผลที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้นักเขียนโปรแกรมประยุกต์ จะต้องทำการทดสอบ แก้ไขโปรแกรม ติดตั้งและบำรุงรักษาโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น
3. ผู้จัดการศูนย์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ (electronic data processing manager) ผู้จัดการศูนย์คอมพิวเตอร์ หรือ EDP manager เป็นบุคลากรระดับบริหารที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงาน ของศูนย์คอมพิวเตอร์
4. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (computer user) เป็นผู้ให้ข้อมูลความต้องการในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานในหน่วยงาน ตลอดจนเป็นผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้พัฒนาขึ้น หรือใช้โปรแกรมประยุกต์อื่น ๆ


การบ้าน

ข้อที่ 1 process การประมวลผลคอมพิวเตอร์ระบบสารสนเทศ



ข้อที่ 2 บทบาทหน้าที่ของบุคลากรในองค์กร




วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สรุปความรู้ที่ได้จาการเรียนครั้งที่ 2

วันอาทิตย์ที่  5  กุมภาพันธ์  2560


สัปดาห์ที่ 2  :  รู้จักกับการออกแบบการสอน ( INSTRUCTIONAL  DESIGN)และ เทคโนโลยี                                         สารสนเทศทางการศึกษา  ( Information  Technology  in  Education )

                      
                      การออกแบบการสอน  ( INSTRUCTIONAL  DESIGN)  ประกอบด้วย
                      1.  การวิเคราะห์  ( ANALYSIS)   
                      2.  การออกแบบ  ( DESIGN )
                      3.  การพัฒนา   (  DEVELOPMENT )
                      4.  การทดลองใช้  ( IMPLEMENTATION )
                      5.  การประเมินผล (EVALUATION)


ดังนั้นการออกแบบสื่อ จึงต้องนำกระบวนการทั้งหมดในแผนภาพไปใช้เพื่อที่จะสามารถปรับปรุงและประเมินผลจากการใช้สื่อได้
                    เทคโนโลยี    สารสนเทศทางการศึกษา  ( Information  Technology  in  Education )
 เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ  สังคมและเทคโนโลยี

ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์  และคอมพิวเตอร์ในยุคก่อน
                                                 ยุคที่ 1    ยุคของการใช้หลอดสุญญากาศ
                                                   ยุคที่ 2  ใช้ทรานซิสเตอร์   เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์
                                                 ยุคที่ 3    วงจรรวม ( lntegrated - Circuit) หรือเรียกกันย่อๆว่า IC
                                                         ยุคที่ 4     วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
                                                   ยุคที่ 5      (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล
การจำแนกขนาดของคอมพิวเตอร์
ขนาดของคอมพิวเตอร์

การแบ่งคอมพิวเตอร์ออกตามขนาดนั้น ไม่ได้แบ่งจากขนาดของคอมพิวเตอร์ แต่แบ่งจากขนาดของหน่วยความจำและอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับและแสดงข้อมูล ดังนั้นการที่จะเลือกคอมพิวเตอร์ขนาดใดจำเป็นคำนึงถึงลักษณะของงานว่ามีความซับซ้อน ยุ่งยาก ต้องใช้หน่วยความจำในการเก็บข้อมูลมากหรือไม่ ผู้เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับงาน ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานได้ผลถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งแบ่งขนาดของคอมพิวเตอร์ได้แบ่ง ขนาด ดังนี้
1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ( Super computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด ซึ่งส่วนมากแล้วจะผลิตมาใช้กับงานเฉพาะด้าน เช่น งานวิทยาศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อนในการคำนวณ งานออกแบบเครื่องบิน งานวิจัยทางด้านนิวเคลียร์ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างแพงมาก
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ( Mainframe Computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง มีความเร็วในการทำงานและมีหน่วยความจำสูงมาก เหมาะกับหน่วยงานขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร องค์กรขนาดใหญ่ เป็นต้น
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดรองลงมา มีขนาดหน่วยความจำน้อยกว่า 2แบบแรก แต่ก็มีความรวดเร็วในการประมวลผลสูง มักจะใช้งานที่มีการบันทึกข้อมูลไม่มาก เช่น การควบคุมอุปกรณ์ในการทดลอง การควบคุมเครื่องจักรใน
รายงาน เป็นต้น
4. ไมโครคอมพิวเตอร์( Micro Computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดปัจจุบันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก มีน้ำหนักเบา ราคาไม่แพง สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและสะดวก บางรุ่นมีลักษณะเป็นกระเป๋าหิ้วหรือที่เรียกว่าNote Book สามารถพกพาได้ สำหรับงานที่จะใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นงานไม่ใหญ่มาก เช่น งานใสำนักงานทั่วไป งานเก็บข้อมูลต่างๆ ปัจจุบันนี้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาออกแบบหลายแบบหลายรุ่น และมีการพัฒนารุ่นต่างๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา

สรุปความรู้ที่ได้จากการเรียนครั้งที่ 1

วันอาทิตย์ที่ 29   มกราคม  2560



สรุปความรู้ที่ได้จาการเรียนครั้งที่ 1 วิชาสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา


              เริ่มต้นจากการเรียนวิชาสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาต้องเข้าใจความหมาย
               และความสำคัญของสื่อว่ามีความสำคัญอย่างไรดังนั้นการเรียนในสัปดาห์แรกจึงเป็นการเรียนรู้
                ความหมายของสื่อ   สื่อหมายถึงตัวกลางช่องทางการติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ดังนั้นสื่อจึงหมายถึงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการอยากรู้อยากเรียนมากขึ้น ดังนั้นจึงได้นำแนวคิดการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำสื่อ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและประหยัด
                การออกแบบสื่อจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญเพราะครูผู้สอนต้องออกแบบการสอนและกลยุทธ์ในการสอนโดยผ่านสื่อ ดังนั้นผู้สอนต้องมีการจัดการการใช้สื่อที่ดี พร้อมทั้งต้องมีการประเมินการใช้สื่อกับผู้เรียน สื่อมีหลายประเภทต้องมีการออกแบบสื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียน ทั้งในเรื่องของวัย เรื่องของความสนใจ ดังนั้นผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนออกมาในสัปดาห์ที่ 1 เพื่อที่จะได้ออกแบบสื่อการเรียนการสอนได้ตรงตามลักษณะของผู้เรียน ตามภาพด้านล่าง