วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สรุปความรู้ที่ได้จากการเรียนครั้งที่ 3 และการบ้าน

วันอาทิตย์ที่  19 กุมภาพันธ์  2560

สรุปความรู้ครั้งที่ 3 : รู้จักกับทรัพยากรณ์ด้านซอฟต์แวร์ ( Software) และทรัพยากรบุคลากรทางคอมพิว                                   เตอร์ ( Peopleware)


ซอฟต์แวร์ระบบ
คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบคอมพิวเตอร์ จัดการอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก การรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ การแสดงผลบนจอภาพ การนำข้อมูลออกไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการประสานงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซอฟต์แวร์ระบบจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซอฟต์แวร์ระบบที่รู้จักกันดี คือ ระบบปฏิบัติการ(operating sytem) เช่น เอ็มเอสดอส ยูนิกซ์ โอเอสทู วินโดวส์ ลินุกซ์ เป็นต้น

ประเภทของระบบปฏิบัติการ
เราสามารถแบ่งประเภทของระบบปฏิบัติการตามลักษณะการทำงานได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

1) ประเภทใช้งานเดียว (single-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอส
2) ประเภทใช้หลายงาน (multitasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน
3) ประเภทใช้งานหลายคน (multiuser)ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคนแต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อต่อกับคอมพิวเตอร์จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถในการจัดการสูง
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ
เนื่องจากระบบปฏิบัติการจะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างโปรแกรมใช้งาน ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงมีหลายชนิด ปัจจุบันระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้งานกันแพร่หลายมีดังนี้
1) ระบบปฏิบัติการดอส ( Disk Operating System : DOS)
2) ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX)
3) ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ (Microsoft Windows)
4)ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ (Linux)
5)ระบบปฏิบัติ MAC OS X

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบ โครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)
บทบาทและหน้าที่ของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องมาจากการทำงานของคคอมพิวเตอร์จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีบุคลากรทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ รวมทั้งการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการบุคลากรทีมีความเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่รับผิดชอบ ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (operator) เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ หากเกิดปัญหาขัดขื้องเกีทื่ยวกับระบบจะต้องแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบ
2. บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบ (system) และโปรแกรม (program)บุคลากรคอมพิวเตอร์ในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย
     นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (systems analyst and designer) ทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ระบบ เพื่อนำมาวิเคราะห์และออกแบบระบบงานใหม่ และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้ระบบและนักเขียนโปรแกรม (programmer)
     ผู้บริหารฐานข้อมูล (database administrator ) ทำหน้าที่ออกแบบและดูแลระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตลอดจนบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ขององค์การ
     นักพัฒนาโปรแกรมระบบ (system programmer) เป็นผู้เขียนโรแกรมควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ ให้คำปรึกษาและแก้ไขระบบเมื่อเกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์
    นักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ (application programmer) เป็นผู้เขียนและพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ โดยการนำผลที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้นักเขียนโปรแกรมประยุกต์ จะต้องทำการทดสอบ แก้ไขโปรแกรม ติดตั้งและบำรุงรักษาโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น
3. ผู้จัดการศูนย์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ (electronic data processing manager) ผู้จัดการศูนย์คอมพิวเตอร์ หรือ EDP manager เป็นบุคลากรระดับบริหารที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงาน ของศูนย์คอมพิวเตอร์
4. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (computer user) เป็นผู้ให้ข้อมูลความต้องการในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานในหน่วยงาน ตลอดจนเป็นผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้พัฒนาขึ้น หรือใช้โปรแกรมประยุกต์อื่น ๆ


การบ้าน

ข้อที่ 1 process การประมวลผลคอมพิวเตอร์ระบบสารสนเทศ



ข้อที่ 2 บทบาทหน้าที่ของบุคลากรในองค์กร




วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สรุปความรู้ที่ได้จาการเรียนครั้งที่ 2

วันอาทิตย์ที่  5  กุมภาพันธ์  2560


สัปดาห์ที่ 2  :  รู้จักกับการออกแบบการสอน ( INSTRUCTIONAL  DESIGN)และ เทคโนโลยี                                         สารสนเทศทางการศึกษา  ( Information  Technology  in  Education )

                      
                      การออกแบบการสอน  ( INSTRUCTIONAL  DESIGN)  ประกอบด้วย
                      1.  การวิเคราะห์  ( ANALYSIS)   
                      2.  การออกแบบ  ( DESIGN )
                      3.  การพัฒนา   (  DEVELOPMENT )
                      4.  การทดลองใช้  ( IMPLEMENTATION )
                      5.  การประเมินผล (EVALUATION)


ดังนั้นการออกแบบสื่อ จึงต้องนำกระบวนการทั้งหมดในแผนภาพไปใช้เพื่อที่จะสามารถปรับปรุงและประเมินผลจากการใช้สื่อได้
                    เทคโนโลยี    สารสนเทศทางการศึกษา  ( Information  Technology  in  Education )
 เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ  สังคมและเทคโนโลยี

ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์  และคอมพิวเตอร์ในยุคก่อน
                                                 ยุคที่ 1    ยุคของการใช้หลอดสุญญากาศ
                                                   ยุคที่ 2  ใช้ทรานซิสเตอร์   เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์
                                                 ยุคที่ 3    วงจรรวม ( lntegrated - Circuit) หรือเรียกกันย่อๆว่า IC
                                                         ยุคที่ 4     วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
                                                   ยุคที่ 5      (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล
การจำแนกขนาดของคอมพิวเตอร์
ขนาดของคอมพิวเตอร์

การแบ่งคอมพิวเตอร์ออกตามขนาดนั้น ไม่ได้แบ่งจากขนาดของคอมพิวเตอร์ แต่แบ่งจากขนาดของหน่วยความจำและอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับและแสดงข้อมูล ดังนั้นการที่จะเลือกคอมพิวเตอร์ขนาดใดจำเป็นคำนึงถึงลักษณะของงานว่ามีความซับซ้อน ยุ่งยาก ต้องใช้หน่วยความจำในการเก็บข้อมูลมากหรือไม่ ผู้เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับงาน ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานได้ผลถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งแบ่งขนาดของคอมพิวเตอร์ได้แบ่ง ขนาด ดังนี้
1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ( Super computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด ซึ่งส่วนมากแล้วจะผลิตมาใช้กับงานเฉพาะด้าน เช่น งานวิทยาศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อนในการคำนวณ งานออกแบบเครื่องบิน งานวิจัยทางด้านนิวเคลียร์ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างแพงมาก
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ( Mainframe Computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง มีความเร็วในการทำงานและมีหน่วยความจำสูงมาก เหมาะกับหน่วยงานขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร องค์กรขนาดใหญ่ เป็นต้น
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดรองลงมา มีขนาดหน่วยความจำน้อยกว่า 2แบบแรก แต่ก็มีความรวดเร็วในการประมวลผลสูง มักจะใช้งานที่มีการบันทึกข้อมูลไม่มาก เช่น การควบคุมอุปกรณ์ในการทดลอง การควบคุมเครื่องจักรใน
รายงาน เป็นต้น
4. ไมโครคอมพิวเตอร์( Micro Computer ) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดปัจจุบันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก มีน้ำหนักเบา ราคาไม่แพง สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและสะดวก บางรุ่นมีลักษณะเป็นกระเป๋าหิ้วหรือที่เรียกว่าNote Book สามารถพกพาได้ สำหรับงานที่จะใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นงานไม่ใหญ่มาก เช่น งานใสำนักงานทั่วไป งานเก็บข้อมูลต่างๆ ปัจจุบันนี้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาออกแบบหลายแบบหลายรุ่น และมีการพัฒนารุ่นต่างๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา

สรุปความรู้ที่ได้จากการเรียนครั้งที่ 1

วันอาทิตย์ที่ 29   มกราคม  2560



สรุปความรู้ที่ได้จาการเรียนครั้งที่ 1 วิชาสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา


              เริ่มต้นจากการเรียนวิชาสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาต้องเข้าใจความหมาย
               และความสำคัญของสื่อว่ามีความสำคัญอย่างไรดังนั้นการเรียนในสัปดาห์แรกจึงเป็นการเรียนรู้
                ความหมายของสื่อ   สื่อหมายถึงตัวกลางช่องทางการติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ดังนั้นสื่อจึงหมายถึงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการอยากรู้อยากเรียนมากขึ้น ดังนั้นจึงได้นำแนวคิดการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำสื่อ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและประหยัด
                การออกแบบสื่อจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญเพราะครูผู้สอนต้องออกแบบการสอนและกลยุทธ์ในการสอนโดยผ่านสื่อ ดังนั้นผู้สอนต้องมีการจัดการการใช้สื่อที่ดี พร้อมทั้งต้องมีการประเมินการใช้สื่อกับผู้เรียน สื่อมีหลายประเภทต้องมีการออกแบบสื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียน ทั้งในเรื่องของวัย เรื่องของความสนใจ ดังนั้นผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนออกมาในสัปดาห์ที่ 1 เพื่อที่จะได้ออกแบบสื่อการเรียนการสอนได้ตรงตามลักษณะของผู้เรียน ตามภาพด้านล่าง